ไทยพาณิชย์ ชวนสัมผัสประสบการณ์ใช้ชีวิตใน “สังคมไร้เงินสด”งาน Money Expo


IMG_0802
ธนาคารไทยพาณิชย์ เดินหน้าสู่การเป็นไลฟ์สไตล์แบงก์กิ้งอย่างเต็มรูปแบบ สานต่อยุทธศาสตร์ National E-Payment ของรัฐบาล ในการส่งเสริมให้ประชาชนลดการใช้เงินสด หันมาใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์และออนไลน์เพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย จึงได้จำลองชีวิตการใช้จ่ายของคนในอนาคตอันใกล้ ภายใต้ธีม “life.SCB” (ไลฟ์ดอทเอสซีบี) ให้ทดลองใช้ชีวิตในสังคมไร้เงินสด (Cashless Society) เน้นสร้างประสบการณ์เสมือนจริงให้เกิดขึ้น ผ่านแอพพลิเคชั่นพิเศษ SCB Money Expo ซึ่งจัดทำขึ้นโดยเฉพาะเพื่อใช้ในงาน Money Expo กรุงเทพฯ 2017 ตอบโจทย์การดำเนินชีวิตด้วยวิถีแบบดิจิทัลของคนรุ่นใหม่

นายธนา เธียรอัจฉริยะ รักษาการ Chief Marketing Officer ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ไทยพาณิชย์เล็งเห็นถึงความสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ที่ปัจจุบันดำเนินชีวิตบนสมาร์ทโฟนกันมากขึ้น รวมถึงการทำธุรกรรมทางการเงินที่หันมาใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากจำนวนบัญชีผู้ใช้งานดิจิทัลแบงก์กิ้งของไทยพาณิชย์ มีจำนวนเกือบ 4 ล้านราย ปริมาณธุรกรรมผ่านออนไลน์ (SCB Easy) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 13% จากปีก่อนหน้า สัดส่วนการใช้งานผ่านโมบายแอพพลิเคชั่น ขยายตัวเป็น 80% และเพื่อเป็นการขานรับยุทธศาสตร์ของภาครัฐในเรื่องของ National E-Payment ในการส่งเสริมให้คนไทยลดการใช้เงินสด อันจะนำไปสู่ “สังคมไร้เงินสด” หรือ “Cashless Society” ซึ่งเป็นเทรนด์ที่แพร่หลายไปทั่วโลก ดังนั้น ธนาคารจึงมุ่งนำเสนอบริการทางการเงินที่แตกต่างไปจากเดิม มอบประสบการณ์ทางการเงินและสังคมไร้เงินสดในงาน Money Expo กรุงเทพฯ ครั้งที่ 17 โดยได้จำลองรูปแบบชีวิตการใช้จ่ายของคนในอนาคตอันใกล้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ผ่านแอพพลิเคชั่น “SCB Money Expo” ดิจิทัล แพลตฟอร์มอันทันสมัยที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นลูกค้าไทยพาณิชย์ ก็สามารถมาร่วมทดลองใช้แอพพลิเคชั่นนี้ในรูปแบบการสะสมคอยน์ (Coin) สำหรับใช้แทนเงินสด ผ่านเกมและกิจกรรมต่างๆ เพื่อนำไปแลกรับของที่ระลึกสุดพิเศษตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ SCB Money Expo Chat Board สำหรับพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารกับผู้เข้าร่วมงาน และ SCB Money Expo Online Info ศูนย์รวมข้อมูลตารางกิจกรรม ผังบูธต่างๆ รวมถึงข้อมูลจำเป็นภายในงาน เพื่อให้ทุกท่านได้สัมผัสประสบการณ์ไร้เงินสดที่เสมือนจริงมากที่สุด”

สำหรับบูธ หรือ SCB Pavilion บนพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร นับเป็นมิติใหม่ของธนาคาร ไทยพาณิชย์ ที่นำเอาเทคโนโลยีผสมผสานกับดีไซน์เพื่อให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ทางการเงินที่ไร้ขีดจำกัด สะท้อนวิถีชีวิตคนดิจิทัล ได้รับการออกแบบตามฟังก์ชั่นของคนยุคใหม่ แบ่งออกเป็น 3 โซน ได้แก่ โซนที่ 1 Passion Space พื้นที่แห่งการพักผ่อนและมองหาแรงบันดาลใจที่จะได้ทดลองใช้ชีวิตจริงกับสังคมไร้เงินสด โซนที่ 2 Work Space พื้นที่ส่วนของการเจรจาธุรกิจ การขอรับคำปรึกษาทางการเงิน ด้วยบริการทางการเงินที่หลากหลาย พร้อมสินเชื่อและโปรโมชั่นต่างๆ มากมาย และโซนที่ 3 Life Space พื้นที่ของการร่วมกิจกรรมสนุกๆ และแลกของรางวัล เพียงดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น SCB Money Expo ผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน ก็สามารถสัมผัสประสบการณ์ Cashless Society ได้อย่างเต็มอิ่มภายในงาน

นอกจากนี้ บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ร่วมออกบูธในโซน Fintech พื้นที่ขนาด 200 ตารางเมตร ภายใต้แนวคิด The Future (Fin)Tech is NOW! ซึ่งจะมีการให้ความรู้ในเรื่อง Fintech หรือเทคโนโลยีทางการเงินให้กับประชาชนทั่วไป ผ่านกิจกรรมในรูปแบบดิจิทัลและ Interactive ทั้งเรื่องเทคโนโลยี เช่น Blockchain, Internet of Things และ Machine Learning เป็นต้น เรื่องหน่วยร่วมทุน (Corporate Venture Capital) รวมถึงจัดพื้นที่ให้สตาร์ทอัพที่อยู่ในโครงการ Digital Ventures Accelerator Batch 0 (DVAb0) อาทิ One Stock Home บริษัทขายวัสดุก่อสร้างออนไลน์ Seekster ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นหางานด้านการบริการสำหรับลูกค้าทั่วไปและ SMEs เป็นต้น ได้มีโอกาสนำเสนอรูปแบบธุรกิจพร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดของสตาร์ทอัพคนไทยให้กับผู้ร่วมงานที่สนใจอีกด้วย

“ไทยพาณิชย์จะนำทุกท่านร่วมสัมผัสประสบการณ์สังคมไร้เงินสดแบบไม่ตกเทรนด์ ผ่านกิจกรรมมากมายที่เต็มไปด้วยความสนุก นอกจากกลุ่มผู้เข้าร่วมงานตามปกติแล้ว งานนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการหาประสบการณ์ รวมถึงน้องๆ นิสิต นักศึกษา และผู้ประกอบการ ที่ต้องการเติมเต็มความรู้รวมถึงมองหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ เพราะที่นี่คือแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตไร้เงินสดที่เสมือนจริงมากที่สุดที่จะเกิดขึ้นเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น”

ไทยพาณิชย์ออกสติ๊กเกอร์ LINE น้องอีซี่ ชุดใหม่ ได้ใจคนไทยทุกภาค ชุด “รักนะ … ประเทศไทย”


IMG_0643
ธนาคารไทยพาณิชย์ออกสติ๊กเกอร์น้องอีซี่ ชุดใหม่ “รักนะ … ประเทศไทย” เอาใจคนไทยในทุกภูมิภาคด้วยภาษาถิ่นโดน ๆ ประกอบกับรูปน้องอีซี่ในชุดประจำถิ่นในแอคชั่นต่าง ๆ ถึง 16 แบบ ด้วยความสดใสน่าเอ็นดู รวมกับความน่ารักของภาษาถิ่นของคนไทยในแต่ละภูมิภาค โดยที่ผ่านมา “SCB Thailand” ซึ่งเป็น Official Account ทางไลน์ของธนาคารไทยพาณิชย์ มีจำนวนผู้ติดตามมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธนาคาร ด้วยจำนวนผู้ติดตามถึง 27 ล้านคน

ผู้ใช้ LINE สามารถดาวน์โหลดสติ๊กเกอร์ น้องอีซี่ชุด “รักนะ…ประเทศไทย” ได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 5 เมษายน 2560 และสามารถติดตามกิจกรรม โปรโมชั่น ข่าวสาร และสิทธิประโยชน์ดี ๆ ของธนาคารฯ ได้ที่ “SCB Thailand” ซึ่งเป็น Official Account ทางไลน์ของธนาคารไทยพาณิชย์ ได้อีกทางหนึ่งด้วย

5 แบงก์ยักษ์จับมือตั้งกลุ่ม TAPS พลิกโฉมปฏิวัติรูปแบบการชำระเงินครั้งแรกในไทย


IMG_0635.JPG
5 ธนาคารยักษ์ใหญ่ ได้แก่ กรุงไทย กรุงศรีอยุธยา ทหารไทย ไทยพาณิชย์ และธนชาต จับมือพลิกโฉมปฏิวัติรูปแบบการชำระเงินครั้งแรกในไทย ภายใต้ชื่อกลุ่ม TAPS บุกขยายฐานติดตั้งเครื่องรับบัตร EDC รูปแบบใหม่รวมฟังก์ชั่น 5 ธนาคารในเครื่องเดียว ขานรับนโยบายรัฐ National e-Payment อำนวยความสะดวกร้านค้าและประชาชนไม่ต้องถือเงินสด พร้อมลดค่าธรรมเนียมบัตรเดบิตเหลือ 0.55% อ้าแขนรับร้านค้าและบริษัทภาครัฐ-เอกชนทั่วประเทศ
5 ธนาคารพันธมิตรกลุ่ม TAPS ระบุว่า นับเป็นครั้งแรกและเป็นปรากฏการณ์สำคัญในวงการธนาคารไทยที่ 5 ธนาคารใหญ่ ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ จับมือเพื่อสร้างความแตกต่างในนามกลุ่ม Thai Alliance Payment System หรือกลุ่ม TAPS เพื่อให้บริการติดตั้งเครื่องรับชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) แก่หน่วยงานภาครัฐ ร้านค้าและบริษัทภาคเอกชนทั้งใหญ่-เล็ก ตอบรับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) โดยเฉพาะโครงการขยายการใช้บัตร (Card Expansion) เพื่ออำนวยความสะดวกกับประชาชน ไม่ต้องพกเงินสด

การจัดตั้งกลุ่ม TAPS มีเป้าหมายเพื่อเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ และสร้างเครือข่ายการให้บริการที่แข็งแกร่ง จากการจับมือของ 5 ธนาคารสมาชิก ได้ร่วมกันพัฒนาฟังก์ชั่นในการใช้งาน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ร้านค้าเพิ่มขึ้นในทุกๆด้าน เพราะเป็นการระดมสมองจาก 5 แบงก์ใหญ่ เครื่องรับบัตรกลุ่ม TAPS จึงเป็นเครื่องรับบัตรรูปแบบใหม่ แตกต่างจากเครื่องรับบัตรแบบเดิมๆ สามารถเพิ่มช่องทางการจัดโปรโมชั่นระหว่างร้านค้ากับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และเข้าถึงลูกค้าได้เป็นจำนวนมาก เพราะในตัวเครื่องจะรวมฟังก์ชั่นพิเศษของทั้ง 5 ธนาคารสมาชิกไว้ในเครื่องเดียว เช่น ฟังก์ชั่นการผ่อนชำระ และฟังก์ชั่นการสะสมแต้ม ทำให้ร้านค้าไม่จำเป็นต้องมีหลายเครื่องเพื่อรองรับบัตรของแต่ละธนาคารอีกต่อไป จะช่วยลดความซ้ำซ้อนด้านการลงทุนและการใช้งานแก่ร้านค้าได้เป็นอย่างมาก อีกทั้ง ด้วยจำนวนผู้ถือบัตรเดบิตและบัตรเครดิตของทั้ง 5 ธนาคารซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ทำให้ร้านค้าที่ติดตั้งเครื่องรับบัตรของกลุ่ม TAPS มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะมาซื้อสินค้า/บริการและชำระเงินด้วยบัตรอย่างแน่นอน

การจับมือกันของพันธมิตร 5 แบงก์ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของความร่วมมือระหว่างธนาคารที่จะเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้กับผู้บริโภคขึ้นใน 2 ระดับ ระดับแรกคือ จากการร่วมกันลงทุนด้านโครงสร้าง และพัฒนานวัตกรรม ซึ่งมีผลให้ต้นทุนในการให้บริการลูกค้าต่ำลง ซึ่งผลที่ได้จะตกอยู่กับลูกค้าในที่สุด และระดับที่สอง คือ ทั้ง 5 ธนาคารจะมีการพัฒนาและมีการออกแคมเปญโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อจูงใจให้กับร้านค้า ดังนั้น ร้านค้าจึงสามารถเลือกแบงก์ที่ให้ผลประโยชน์ดีที่สุด เพิ่มทางเลือกให้กับร้านค้าที่จะได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้นได้อีก

ขณะนี้ กลุ่ม TAPS ได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงการคลังให้เป็นผู้ให้บริการติดตั้งเครื่องรับบัตรแก่ร้านค้าแล้ว ในช่วงแรกตั้งเป้าติดตั้งเครื่องรับบัตรให้ครอบคลุมร้านค้าทั้งภาครัฐและเอกชนกว่า 500,000 ร้าน ภายในเดือนมีนาคม 2561 โดยกลุ่ม TAPS มีความพร้อมในการให้บริการได้ทันที เนื่องจากธนาคารสมาชิกทั้ง 5 ต่างก็มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในธุรกิจร้านค้ารับบัตร อีกทั้งมีความแข็งแกร่งทั้งด้านเงินทุน บุคลากร เทคโนโลยี และมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยสำหรับการชำระเงินเนื่องจากการดำเนินงานภายในมีการตั้งคณะทำงานด้านต่างๆ ขึ้นมา เช่น ด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การพัฒนาทาง IT และเทคโนโลยี และด้านการตลาดซึ่งธนาคารสมาชิกทั้ง 5 ได้ส่งตัวแทนผู้เชี่ยวชาญเข้าร่วมในคณะทำงานด้วยกันอย่างใกล้ชิดตลอดมา

นอกจากนี้ กลุ่ม TAPS ได้ปรับลดค่าธรรมเนียมการรับบัตรสำหรับบัตรเดบิตจากปกติ 1,5 – 1.8% เหลือเพียง 0.55% และโปรโมชั่นพิเศษอื่นๆ ที่จะตามมา เพื่อรองรับการเติบโตของการใช้จ่ายผ่านบัตร เดบิต โดยกลุ่ม TAPS พร้อมแล้วที่จะให้บริการเครื่องรับบัตรรูปแบบใหม่ที่จะมอบความสะดวกให้ร้านค้าทำธุรกิจได้อย่างสมาร์ท เติบโต และแตกต่าง เพื่อผลกำไรสูงสุด

แสนสิริ เปิดตัว Property Technology เต็มรูปแบบ สร้างนวัตกรรมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัย


0281.jpg

แสนสิริ (SIRI) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดตัว “สิริ เวนเจอร์” (SIRI VENTURE) บริษัทร่วมทุนในรูปแบบ Corporate Venture Capital ทำการวิจัยและลงทุน เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ (R&D) ด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย เน้นเปิดโอกาสสำคัญให้กลุ่มสตาร์ทอัพพัฒนาแนวคิดนวัตกรรมเกี่ยวกับการใช้ไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัยจนสำเร็จใช้งานจริงและสนับสนุนให้เข้าถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรง โดยมีไทยพาณิชย์ร่วมสนับสนุนในฐานะผู้มีประสบการณ์ด้านการลงทุนด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ รวมถึงการนำเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ FinTech เข้าร่วมพัฒนานวัตกรรมไปพร้อมกัน เผย สิริ เวนเจอร์ ใช้ทุนจดทะเบียนในช่วงเริ่มต้น 100 ล้านบาท ลงทุนสร้างสรรค์เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ร่วมกับกลุ่มนักวิจัย, นักประดิษฐ์, ผู้ผลิตและธุรกิจสตาร์ทอัพ ตั้งเป้าสร้างเครือข่ายกับผู้พัฒนานวัตกรรมใหม่ด้าน Property Technology อย่างน้อย 300 รายภายในปี 2020 เชื่อมั่น สิริ เวนเจอร์ จะช่วยส่งให้นวัตกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยไทยไปได้ไกลในระดับโลก รวมทั้งเสริมการเติบโตให้กับธุรกิจหลักอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ร่วมทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ก่อตั้ง Venture Capital ในชื่อ บริษัท สิริ เวนเจอร์ จำกัด SIRI VENTURE โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างแสนสิริ และธนาคารไทยพาณิชย์  90:10 ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ลงทุนและพัฒนาในนวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่ออนาคต และการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยหรือ “พร็อพเพอร์ตี้ เทคโนโลยี” (Property Technology) อย่างเต็มรูปแบบรายแรกของไทย

“แสนสิริได้ศึกษาและตัดสินใจจัดตั้ง Corporate Venture Capital หรือ “ธุรกิจร่วมลงทุน” ขึ้น เพื่อมองหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจประเภท Property Technology ที่มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทแสนสิริ และจะมีส่วนช่วยผลักดันธุรกิจหลักของแสนสิริให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมถึงมองหาโอกาสและ Innovation ทางธุรกิจและกระบวนการธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ประกอบกับการที่แสนสิริมีพันธมิตรทางธุรกิจอย่างธนาคารไทยพาณิชย์ ที่มีความเข้าใจและมองเห็นโอกาสใหม่ๆ ของการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจในโลกดิจิตัลและให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมด้านการเงินหรือ FinTech ทำให้บริษัทร่วมลงทุนกับธนาคารไทยพาณิชย์ ก่อตั้ง สิริ เวนเจอร์ ขึ้นเพื่อเป็น Corporate Venture Capital ด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบรายแรกของไทย ซึ่งประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนคือ แสนสิริจะมีหน่วยงานเฉพาะที่รับผิดชอบเรื่องของการสรรหาและลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทางด้าน Property Technology เหล่านี้เข้ามาใช้เป็นรายแรก ทั้งเพื่อการดำเนินธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ สำหรับลูกค้า หรือสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ จากนวัตกรรมบริการที่สามารถนำไปขายให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น หรือแม้แต่กับธุรกิจอื่น ๆ เกิดเป็นช่องทางรายได้ใหม่ที่จะผลักดันวงจรการเติบโตแบบก้าวกระโดดครั้งใหม่ซึ่งจะส่งผลประโยชน์สูงสุดคืนให้แก่ลูกค้าจากการที่ แสนสิริจะมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ ทั้งเพื่อการดำเนินธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ สำหรับลูกค้าตลอดเวลา อาทิ การนำระบบ Smart Home Integration เปิดตัวใช้ที่โครงการ 98 Wireless และโครงการ The XXXIX ทั้งโครงการเป็นครั้งแรก” นายอภิชาติกล่าว

 

นายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การร่วมลงทุนใน สิริ เวนเจอร์ กับแสนสิริในครั้งนี้ เกิดขึ้นจากการที่ ดิจิทัล เวนเจอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ทำหน้าที่เป็นผู้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินและดูแลการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีของธนาคาร เห็นว่าเป็นโอกาสที่เราจะได้ขยายขีดความสามารถในการเข้าถึงสตาร์ทอัพและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อทำงานร่วมกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า มุมมองทางด้านเทคโนโลยีของไทยพาณิชย์นั้น ไม่หยุดอยู่แค่การพัฒนาผลิตภัณฑ์การเงินเท่านั้น แต่ต้องการสร้างสรรค์เทคโนโลยีทางการเงินที่เข้าถึงหรือผสานอยู่ใน Ecosystem ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของลูกค้าได้อย่างกลมกลืนและสมบูรณ์แบบ ทำให้ธนาคารสามารถนำ FinTech เข้ามาทำงานร่วมกันกับ Property Technology เกิดเป็น Living Ecosystem ที่สมบูรณ์ และนำมาซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการร่วมกันได้อย่างครบวงจร อาทิ การซื้อของ และการปล่อยสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีเป้าหมายในการร่วมสร้างประสบการณ์ทางการเงินและการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้า การทำงานร่วมกันเช่นนี้จะทำให้เรามองเห็นภาพผู้บริโภคได้กว้างมากขึ้น สามารถนำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ไปวางในจุดที่ถูกต้องแม่นยำ รวมทั้งเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ มากยิ่งขึ้นตามเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของธนาคาร โดยธนาคารมีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินที่ทันสมัยและตอบโจทย์ลูกค้าทั้งระดับองค์กรที่เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หรือลูกค้าเอสเอ็มอีซึ่งดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ซื้ออสังหาฯ รวมทั้งยังเป็นโอกาสดีที่จะได้แลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญและนวัตกรรมสำหรับการบริหารงานด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน Digital Payment, Blockchain, Big Data ซึ่งธนาคารฯ กำลังมุ่งพัฒนาศักยภาพของเทคโนโลยีอยู่”

นายชาคริต จันทร์รุ่งสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิริ เวนเจอร์ จำกัด กล่าวว่า “แสนสิริคือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บุกเบิกและเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีมานานหลายปีแล้ว โดยเริ่มนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำ Marketing ตั้งแต่ปี 2552 ด้วยการทำ Digital Sales Kit บนหน้าจอ Multitouch เป็นรายแรกของไทย ช่วยให้การขายโครงการสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  รวมทั้งพัฒนา Home Service โมบายแอพพลิเคชั่นสำหรับให้บริการลูกบ้านแสนสิริ ตั้งแต่ปี 2555 วันนี้แสนสิริก้าวสู่อีกระดับด้วยการก่อตั้ง สิริ เวนเจอร์ เพื่อมุ่งพัฒนาและลงทุนใน Property Technology ซึ่งเป็นนวัตกรรมเพื่ออนาคตของการใช้ชีวิต ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น เร็วขึ้น และประหยัดยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต นวัตกรรมเป็นได้ทั้งผลิตภัณฑ์ ผลงานวิจัย งานดีไซน์ใหม่ ๆ หรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ให้เกิดความยั่งยืน นวัตกรรมสร้างได้ทั้งผลิตภัณฑ์ ผลงานวิจัย งานดีไซน์ใหม่ ๆ หรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ที่ครอบคลุมเทคโลยีสำหรับการทำธุรกิจด้านที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร (Holistic Property Technology Landscape) ตั้งแต่การบริหารระบบข้อมูล การออกแบบโครงการ การก่อสร้าง การสนับสนุนการซื้อขาย การบริหาร และให้บริการภายในโครงการ ไปจนถึงเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัยแบบองค์รวม การสร้างนวัตกรรม ซึ่งผ่านขั้นตอนจากไอเดีย สู่สตาร์ทอัพ จนธุรกิจสามารถอยู่รอดได้นั้น จะกลายเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เกิดวงจรการเติบโตแบบก้าวกระโดด นอกจากนั้น เราจะมีแผนดำเนินธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property Management) เพื่อสร้างรายได้ต่อยอดสู่ระดับนานาชาติ”

 

ภารกิจสำคัญของ สิริ เวนเจอร์ มี 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. ร่วมลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัย ด้วยลงทุน 100 ล้านบาท เริ่มจากในประเทศไทยและสิงคโปร์  2. ร่วมทุนและยกระดับศักยภาพของ Home Service โมบายแอพพลิเคชัน สำหรับลูกบ้านแสนสิริ เพื่อบริการรูปแบบใหม่ที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิต และสามารถขยายขอบข่ายบริการในตลาดที่กว้างขึ้น และ 3. จัดตั้งโครงการผลักดันสตาร์ทอัพด้าน Property Technology โดยเฉพาะครั้งแรกในประเทศไทย (Property Technology Accelerator) เพื่อเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับอสังหาริมทรัพย์และการอยู่อาศัยที่มีศักยภาพในการลงทุน

สำหรับการลงทุนและยกระดับศักยภาพของ Home Service โมบายแอพพลิเคชั่นสำหรับลูกบ้านแสนสิริ ซึ่งเริ่มพัฒนามาตั้งแต่ปี 2555 มีผลตอบรับที่ดีมากด้วยจำนวนผู้ใช้จากหลักร้อยเพิ่มเป็นหลักหมื่นในเวลาเพียง 3 ปี จึงมีศักยภาพที่จะปฏิรูปให้เป็นนวัตกรรมบริการดิจิทัลที่อำนวยความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตประจำวันอย่างสมบูรณ์แบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในแวดวง Property Technology ตั้งแต่ ระบบส่งข้อความ แจ้งข่าวสาร เรียกใช้บริการซ่อมแซมภายในบ้าน ไปจนถึงการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ ระบบควบคุมสั่งการอัจฉริยะภายในบ้าน รวมทั้งการเพิ่มเติมบริการอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการใหม่ ๆ ที่เปลี่ยนไปของผู้คนในอนาคต และเป็น Property Technology ปฏิวัติวงการตัวเด่นที่สามารถขยายขอบข่ายตลาดผู้ใช้สู่วงกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะโครงการแสนสิริ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปเสนอกับโครงการอสังหาฯ ของผู้พัฒนาอื่น ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบัน  Home Service มีจำนวนผู้ใช้ซึ่งเป็นลูกบ้านของแสนสิริแล้วจำนวนถึงกว่า 13,000 ราย ใน 135 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียม

ด้านโครงการ Property Technology Accelerator จะมีการวางเป้าหมายอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเริ่มในไตรมาส 2 ของปีนี้ โดยรับสมัครทีมสตาร์ทอัพจำนวน 100 ทีม จากนั้นในไตรมาสมาส 3 จะคัดเลือกที่มีศักยภาพ 15 ทีมมาเข้าร่วม Business Incubation เพื่อการบ่มเพาะธุรกิจ พร้อมคอร์สติวเข้มกับผู้บริหารและนักธุรกิจซึ่งมีความเชี่ยวชาญ ก่อนที่จะมาคัดเลือกสตาร์ทอัพที่สามารถต่อยอดทางธุรกิจได้ประมาณ 8-10 ทีมอีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเราจะผลักดันนวัตกรรมที่เราพัฒนาให้ได้รับการจดสิทธิบัตรต่อไป

“จากฐานข้อมูลการวิจัยและพัฒนาของเรา เทรนด์การพัฒนาเทคโนโลยีกำลังก้าวจาก Formless สู่ Borderless และ Limitless ข้อจำกัดต่าง ๆ จะค่อย ๆ ลดหายไป Property Technology ที่มาแรงในช่วงอนาคตอันใกล้ซึ่งเราสนใจลงทุน จึงได้แก่เทคโนโลยีโมบิลิตี้ที่นำมาการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ ที่หลากหลายขึ้น เทคโนโลยีด้านสมาร์ทโฮม ไม่ว่าจะเป็นด้าน Home Automation, Security หรือ Home AI หรือระบบสั่งการด้วยเสียง ระบบ Preventive Maintenance ภายในบ้าน และเทคโนโลยีโรโบติกส์ หรือหุ่นยนต์ ซึ่งสามารถพัฒนามาเป็นหุ่นยนต์ส่งของถึงห้องพักภายในอาคารคอนโดมิเนียมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้พักอาศัย และเทคโนโลยี Exoskeleton  ซึ่งเป็นชุดหุ่นยนต์ที่สวมใส่ได้เพื่อเป็นอุปกรณ์เพิ่มขีดความสามารถของมนุษย์ เช่น ความแข็งแกร่ง เคลื่อนไหวได้รวดเร็วยิ่งขึ้น สามารถนำมาใช้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของงานก่อสร้าง เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพและความรวดเร็ว และลดต้นทุนในการทำงาน ตลอดจนเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น”

ไทยพาณิชย์เดินหน้าภารกิจ “SCB Transformation” ทุ่มลงทุนไอที 3-4 หมื่อนล้าน มุ่งสู่ The Most Admired Bank


IMG_0528.JPG

ธนาคารไทยพาณิชย์ นำโดย นายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารแถลงผลประกอบการปี 2559 ของธนาคารไทยพาณิชย์ มีผลกำไร 47,600 ล้านบาท สูงกว่าปี 2558 (ผลกำไร 47,200 ล้านบาท) 0.9% นางกิตติยา โตธนะเกษม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Financial Officer เผยว่าเป็นผลมาจากกลยุทธ์เชิงรุกในการบริหารต้นทุนเงินฝากและรายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิที่เพิ่มขึ้น สำหรับปี 2560 ธนาคารไทยพาณิชย์ยังคงเดินหน้าภารกิจ “SCB Transformation” อย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวขึ้นเป็น The Most Admired Bank หลังจากที่ปี 2559 ได้เริ่มการเปลี่ยนผ่านเพื่อปรับรากฐานขององค์กรด้วยการสื่อสารอย่างทั่วถึงในทุกระดับ

ในปี 2560 ธนาคารไทยพาณิชย์จะรุกสู่การเป็นธนาคารดิจิทัลที่เข้าถึงความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง (Human Digital Banking) พร้อมเน้นการขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม “เจ็นวาย” (Gen Y), กลุ่มลูกค้าบุคคลกลุ่ม Mass Affluent และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งเป้าเป็นผู้นำในทุกกลุ่มลูกค้าภายใน 3 ปี โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาโดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นที่ตั้ง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปจากเดิม นอกจากนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์ยังตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีกว่า 30,000 – 40,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี เพื่อรองรับแพลตฟอร์มดิจิทัล รวมถึงการนำเทคโนโลยี Business Intelligence ที่ช่วยให้ธนาคารตัดสินใจด้านการลงทุนได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นโดยอาศัยข้อมูลทั้งจากภายในและภายนอกธนาคาร และเทคโนโลยี Big Data Analysis ที่ช่วยให้ธนาคารวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าในเชิงลึกได้มากขึ้น

สำหรับการลงทุนในฟินเทค (FinTech) และนวัตกรรมใหม่ๆ นั้น ธนาคารไทยพาณิชย์มีแผนลงทุนผ่าน บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด โดยในอนาคตมีแผนจะขยายการลงทุนไปในภูมิภาคยุโรป และอเมริกา ธนาคารไทยพาณิชย์คาดว่าการลงทุนในรูปแบบดังกล่าวจะทำให้ธนาคารเข้าถึงสตาร์ทอัพ และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่กว้างขวางมากขึ้น เพื่อนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ของธนาคาร

นายอาทิตย์ นันทวิทยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจัยที่เคยนำมาซึ่งความสำเร็จในอดีตของธุรกิจธนาคารอาจไม่สามารถนำไปสู่การเติบโตในอนาคตได้ เนื่องจากเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาท ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทำให้เกิดคู่แข่งและการแข่งขันที่เปลี่ยนไป ผลกระทบที่จะเห็นได้ชัดในอนาคตอันใกล้ ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทางการเงินที่ลดลง และการจัดการรูปแบบการให้บริการของสาขาที่ต้องถูกปรับให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้ามากขึ้น”

ด้วยตระหนักดีว่าเทคโนโลยีดิจิทัลยังคงต้องดำเนินควบคู่ไปกับการสร้างความผูกพันและความไว้วางใจผ่านพนักงาน ธนาคารไทยพาณิชย์จึงพัฒนาพนักงานให้ก้าวไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สู่การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่ลูกค้าไว้วางใจ ซึ่งธนาคารมีแผนเพิ่มจุดรับบริการให้มากขึ้น โดยจุดรับบริการแต่ละแห่งจะได้รับการวางรูปแบบที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละทำเล อีกทั้งที่สาขายังแยกบทบาทการขายและการบริการออกจากกัน เพื่อส่งมอบประสบการณ์การทำธุรกรรมที่สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงความต้องการทางการเงินของลูกค้าแต่ละรายได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หน่วยธุรกิจต่างๆ ภายในธนาคารเอง ยังปรับให้ทำงานร่วมกันเพื่อส่งมอบคุณค่าของผลิตภัณฑ์และการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

“ในปี 2560 จะเป็นปีที่ธนาคารไทยพาณิชย์นำประสบการณ์ใหม่ๆ แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มใหม่สำหรับบริการธนาคารทางโทรศัพท์มือถือ (Mobile Banking) และการเดินหน้าสนับสนุนโครงการ National e-Payment ของภาครัฐ ที่มีแผนการขยายการลงทะเบียนและการใช้ระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) ที่ปัจจุบันมีการผูกบัญชีกว่า 2 ล้านบัญชี และพร้อมจับมือกับกลุ่มธนาคารพันธมิตรในการวางเครื่องรับบัตรทั่วประเทศ ในขณะเดียวกัน ธนาคารฯ ยังมุ่งมั่นจะพัฒนาความสัมพันธ์และความไว้วางใจกับลูกค้าในเชิงลึกผ่านพนักงานควบคู่ไปด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าเราให้บริการผ่านเทคโนโลยีที่ใช้ใจสัมผัสได้ รวมทั้งการปรับปรุงรูปแบบการให้บริการที่สาขาให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเอสเอ็มอี กลุ่ม Wealth และกลุ่มลูกค้าบุคคลทั่วไป ซึ่งมีการจัดสรรจุดที่ตั้งของสาขาแต่ละประเภทให้ลูกค้าแต่ละกลุ่มเข้าถึงได้สะดวก และมีการกำหนดรูปแบบบริการ ผลิตภัณฑ์ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกให้ตรงกับพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้ากลุ่มนั้นๆ ทั้งนี้ ได้เริ่มจากการปรับรูปแบบสาขาเพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าเอสเอ็มอีแล้ว โดยมีสาขาลาดพร้าว 59 เป็นสาขานำร่อง” นายอาทิตย์ กล่าวต่อ

สำหรับเป้าหมายด้านการเงินนั้น ในปี 2560 ธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อ ประมาณ 4-6% โดยจะรักษาอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไว้ให้ต่ำกว่า 3% โดยจะปล่อยสินเชื่อให้กับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน, อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม, อุตสาหกรรมก่อสร้าง และภาคการค้า พร้อมกับขยายธุรกิจควบคู่ไปกับซัพพลายเชนของลูกค้าปัจจุบัน นอกจากนี้ธนาคารฯ จะมุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนธุรกิจในกลุ่มสินเชื่อบุคคล และบัตรเครดิต ส่วนธุรกิจที่เข้มแข็งอยู่แล้ว เช่น สินเชื่อบ้าน และรถยนต์ ก็จะยังคงรักษาระดับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยนั้น ธนาคารฯ ตั้งเป้าเติบโต 3-4% โดยเน้นที่ธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยน, ธุรกรรมการค้าและส่งออก, วาณิชธนกิจ, ตลาดทุน และประกันชีวิต

ไทยพาณิชย์สยายปีกร่วมมือ “Nyca” เวนเจอร์แคปปิตอลดัง เฟ้นหาสุดยอดฟินเทคในอเมริกา


thana

ธนาคารไทยพาณิชย์ เข้าลงทุนใน ไนกา ฟันด์ II (Nyca Fund II) ซึ่งเป็นกองทุนพัฒนาฟินเทคชั้นนำของสหรัฐอเมริกาที่มีชื่อเสียงและมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งทั้งในซิลิคอนแวลลี่ย์และวอลล์สตรีท อีกก้าวสำคัญในการรุกขยายเครือข่ายการลงทุนในฟินเทคทั่วโลก ผ่านการดำเนินการของ “ดิจิทัล เวนเจอร์ส” บริษัทในเครือด้านการพัฒนาฟินเทคและการลงทุน

ในความร่วมมือดังกล่าว ธนาคารไทยพาณิชย์จะเป็น 1 ใน 10 สถาบันการเงิน (limited partner) ของไนกา ฟันด์ II ซึ่งจะทำให้ธนาคารไทยพาณิชย์มีโอกาสเข้าถึงบริษัทพัฒนาฟินเทคในสหรัฐฯมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้น นอกจากนี้ ไทยพาณิชย์ยังจะมีโอกาสได้ศึกษาการนำเทคโนโลยีด้านการเงินมาใช้จริงในองค์กรต่างๆ

นายธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า “การลงทุนใน ไนกา นั้นถือเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญของเรา ในการขยายเครือข่ายที่จะสรรหาและคัดสรรฟินเทคที่มีศักยภาพในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ของโลกมีมูลค่าการลงทุนประมาณปีละ 13,000 ล้านดอลล่าร์ นอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังเป็นแหล่งรวมการสร้างสรรค์นวัตกรรม และไนกาก็เป็นบริษัทที่มีจุดแข็งในด้านความสัมพันธ์กับบริษัทในกลุ่มบริการทางการเงินและเทคโนโลยี ดังนั้น ไนกาจะสามารถทำหน้าที่เป็นเสมือนเรดาร์ที่จะคอยหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับเราในตลาดสหรัฐฯ เชื่อว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธนาคารไทยพาณิชย์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้กับลูกค้าในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกันจะทำให้เราได้รับความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีทางการเงินอีกด้วย”

ไนกา พาร์ทเนอร์ส เป็นบริษัทเวนเจอร์แคปปิตอลชั้นนำที่มีสำนักงานใหญ่ในนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ก่อตั้งโดย ฮานส์ มอริส นักลงทุนที่มีประสบการณ์สูงและได้รับการจัดอันดับจาก 2016 Fintech/Finance 35 Survey โดยนิตยสาร Institutional Investor Magazine ให้เป็น “สุดยอดนักลงทุนในฟินเทค” ในอันดับที่ 10 จาก 35 อันดับ ปัจจุบัน มอริส ยังคงเป็นผู้บริหารหลักและเป็นหัวหน้าทีมที่ปรึกษาของบริษัท ที่นำเอาความเชี่ยวชาญและความรู้เชิงลึกในด้านอุตสาหกรรมการเงินและเทคโนโลยีมาใช้เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจให้แก่ลูกค้าองค์กรและสตาร์ทอัพ ให้บริษัทมีความพร้อมในการพลิกโฉมบริการด้านการชำระเงิน รูปแบบของเครดิตสกอร์ การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับดิจิทัล และโครงสร้างพื้นฐานด้านการเงิน การผสานจุดแข็งด้านการเงินเข้ากับเครือข่ายมากมายในซิลิคอน แวลลี่ย์จะทำให้ไนกาสามารถช่วยผู้ประกอบการให้ประสบความสำเร็จได้ บริษัทมีเป้าหมายในการลงทุนประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปีในบริษัทที่เน้นการสร้างสรรค์นวัตกรรมเทคโนโลยีทางการเงินและการชำระเงิน

ฮานส์ มอริส ผู้ก่อตั้งไนกา พาร์ทเนอร์ส กล่าวว่า “ไนกายินดีที่ได้เป็นพันธมิตรกับธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นธนาคารชั้นนำที่มีชื่อเสียงและมีวิสัยทัศน์กว้างไกลในแง่ของการส่งเสริมนวัตกรรมทางการเงิน การร่วมมือกันในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทสตาร์ทอัพที่เราได้ลงทุนนั้นมีโอกาสในการขยายตลาดสู่เอเชียด้วยเช่นกัน”

ไทยพาณิชย์ แจ้งปิดพัฒนาระบบ ATM ชั่วคราว 13-14 ม.คนี้ตั้งแต่ 5. ทุ่มถึงตี 5


IMG_0506.JPG

ไทยพาณิชย์ จะปิดระบบ ATM ชั่วคราวทั่วประเทศ ในวันศุกร์ที่ 13 มกราคม 2560 ตั้งแต่เวลา 23.00 น. ถึง เวลา 05.00 น. ของวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2560 เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของระบบ ATM พร้อมยกระดับการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น
ทั้งนี้ การปิดระบบ ATM ดังกล่าว จะส่งผลให้ลูกค้าของธนาคารไม่สามารถใช้บัตรทุกประเภท (บัตรเอทีเอ็ม บัตรเดบิต และบัตรเครดิต) ที่ตู้ ATM/CDM ของธนาคารไทยพาณิชย์ และต่างธนาคาร รวมถึงไม่สามารถใช้บัตรเดบิตเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการที่เครื่องรูดบัตร ณ ร้านค้าได้ สำหรับบัตรเครดิตของธนาคารไทยพาณิชย์ยังสามารถใช้ชำระค่าสินค้าและบริการที่เครื่องรูดบัตร ณ ร้านค้าได้ตามปกติ สำหรับ Internet Banking (Easy Net), Mobile Banking (Easy App) และ UP2ME ลูกค้าจะสามารถทำธุรกรรมโอนเงินไปยังบัญชีภายในธนาคารไทยพาณิชย์ได้ตามปกติ แต่จะไม่สามารถโอนเงินไปต่างธนาคารได้
ธนาคารฯ ขอความกรุณาลูกค้าวางแผนการทำธุรกรรมล่วงหน้า โดยหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีการปิดระบบ และขออภัยในความไม่สะดวกครั้งนี้ ลูกค้าสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์บริการลูกค้า ธนาคารไทยพาณิชย์ โทร.0 2777 7777

บัตรเครดิตไทยพาณิชย์ เดินหน้าผลักดัน Cashless Society เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่หัวใจดิจิตอล


IMG_0445.JPG
บัตรเครดิตธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดแคมเปญใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ไทยพาณิชย์ทุกประเภทด้วย “ซัมซุง เพย์ (Samsung Pay)” การชำระเงินรูปแบบใหม่ด้วยบัตรเครดิตผ่านสมาร์ทโฟนที่ใช้ง่าย สะดวก ปลอดภัย รองรับบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ ทั้ง Visa และ Master เพียงลงทะเบียนเพิ่มบัตรเครดิตไทยพาณิชย์ เข้ากับซัมซุง เพย์ เพื่อเริ่มใช้งานวันนี้ บัตรเครดิตไทยพาณิชย์มอบโปรโมชั่นคืนเงินสูงสุด 300 บาท/ท่าน ตลอดระยะเวลา 3 เดือน เพียงมียอดใช้จ่าย 200 บาทต่อเซลล์สลิป ครบ 5 ครั้ง/เดือน รับเครดิตเงินคืน 100 บาท/ท่าน /เดือน ลงทะเบียนรับสิทธ์ ผ่าน SMS โดยพิมพ์ SSP เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4545333 ตั้งแต่วันนี้ – 28 กุมภาพันธ์ 2560

ปัจจุบัน เครื่องอ่านบัตรเครดิตในประเทศไทยสามารถรองรับการชำระเงินด้วยซัมซุง เพย์ ได้ ซึ่งเบื้องต้นมีผู้ประกอบการเข้าร่วมบริการ ซัมซุง เพย์ ได้แก่ เดอะมอลล์ทุกสาขา, ศูนย์การค้า ดิ เอ็ม ดิสทริค (ดิ เอ็มโพเรียม และ ดิ เอ็มควอเทียร์), ศูนย์การค้าสยามพารากอน, ศูนย์การค้าบลูพอร์ต หัวหิน, ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี, ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์, ศูนย์การค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ และศูนย์การค้าพาราไดซ์ พาร์ค สมาร์ทโฟนของซัมซุงที่รองรับการใช้งานซัมซุง เพย์ ได้แก่ กาแลคซี่ เอส 7, กาแลคซี่ เอส 7 เอดจ์, กาแลคซี่ เอส 6 เอดจ์ พลัส, กาแลคซี่ โน้ต 5, กาแลคซี่ เอ 7 (2016) และ กาแลคซี่ เอ 5 (2016) รายละเอียดเพิ่มเติม และวิธีการสมัครใช้งานซัมซุง เพย์ ผ่านเว็บไซด์ http://www.samsung.com/th/samsungpay/index.html

Rabbit LINE Pay จับมือ SCB และหลากพาร์ทเนอร์ จัดแคมเปญพิเศษ โปรแรง!รับเดือน ต.ค.


scb-line-card

Rabbit LINE Pay แพลตฟอร์มการชำระเงินทางออนไลน์และออฟไลน์ชั้นนำในประเทศไทยภายใต้การร่วมทุนระหว่าง LINE Pay กับ Rabbit ประกาศจัดแคมเปญร่วมกับพาร์ทเนอร์จากหลากหลายธุรกิจ ทั้งธนาคาร โทรคมนาคมและเกมต้อนรับเดือนตุลาคม

หลังจากประกาศร่วมทุนอย่างยิ่งใหญ่ไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Rabbit LINE Pay ได้มีแคมเปญใหม่ร่วมกับพาร์ทเนอร์จากหลากหลายธุรกิจ มุ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงสร้างสีสัน ความสนุกในการชำระเงินให้กับผู้ใช้มากยิ่งขึ้น ดังนี้

พบกับบัตรเดบิต SCB LINE บัตรเดบิตธนาคารไทยพาณิชย์แบบซิปการ์ดด้วยมาตรฐานระดับโลก (EMV Chip) ในลวดลายคาแรคเตอร์ LINE สุดน่ารักไม่เหมือนใคร พร้อมให้ผู้ใช้เลือกได้ถึง 3 แบบ ทั้งยังคงความปลอดภัยและความสามารถในการทำธุรกรรมผ่านบัตรได้เช่นเดียวกับบัตรเดบิตทั่วไป

พร้อมกันนี้ ลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์สามารถผูกบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์เข้ากับบัญชี Rabbit LINE Pay เพื่อเติมเงินเข้ากระเป๋าเงิน Rabbit LINE Pay (Rabbit LINE Pay E-wallet) ได้อย่างง่ายดาย และสามารถโอนเงินให้เพื่อน เติมเงินมือถือ หรือจ่ายเงินให้ร้านค้าต่างๆ ที่ร่วมรายการผ่านกระเป๋าเงิน Rabbit LINE Pay ได้อีกด้วย

พิเศษ สำหรับลูกค้าที่สมัครบัตรเดบิต SCB LINE พร้อมผูกบัญชีออมทรัพย์ธนาคารไทยพาณิชย์กับกระเป๋าเงิน Rabbit LINE Pay ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2560 รับฟรี! สติกเกอร์เซต 16 คาแรคเตอร์ LINE สุดน่ารัก “ชุด Rabbit LINE Pay x SCB”

SCB เปิดตัว “บัตรเดบิต SCB LINE” พร้อมจับมือ Rabbit LINE Pay เชื่อมต่อกระเป๋าเงินออนไลน์


 

SCB LINE Debit Card.jpg

นางสาวอัญชลี จรัสยศวุฒิชัย ) ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสายผลิตภัณฑ์บัตรเครดิต พร้อมด้วย นายธนา โพธิกำจร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสาย Digital Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ และมร. จิน วู ลี (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Rabbit LINE Pay ร่วมเปิดตัว “บัตรเดบิต SCB LINE” บัตรเดบิตธนาคารไทยพาณิชย์แบบชิปการ์ดด้วยมาตรฐานระดับโลก (EMV Chip) ที่มีรูปหน้าบัตรเป็นคาแรคเตอร์ LINE ที่ยังคงความปลอดภัยและความสามารถในการทำธุรกรรมผ่านบัตร เช่นเดียวกับ บัตร เดบิต เอส สมาร์ท พร้อมกันนี้ทางธนาคารฯ ได้ร่วมพัฒนาบริการโอนเงิน หรือ จ่ายเงินผ่านกระเป๋าเงิน Rabbit LINE Pay (Rabbit LINE Pay E-wallet) โดย ธนาคารฯ เป็นธนาคารแรกที่ให้บริการผูกบัญชีเพื่อเติมเงินเข้า Rabbit LINE Pay เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งานให้แก่ลูกค้าผู้ถือบัตรเดบิต SCB LINE โดยเฉพาะ เพียงสมัครบัตรเดบิต SCB LINEพร้อมผูกบัญชี Rabbit LINE Pay กับบัญชีออมทรัพย์ธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2559 ถึง 31 มีนาคม 2560 พิเศษ รับฟรี LINE Sticker Limited Edition 16 คาร์แรกเตอร์ สำหรับลูกค้าที่มีประสงค์รับบริการ “บัตรเดบิต SCB LINE” สามารถติดต่อขอรับบริการได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ทุกสาขา หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 0-2777-7777