อินเทลเปิดโอกาสใหม่ให้นักพัฒนาร่วมขยายประสบการณ์เทคโนโลยีให้ครอบคลุมทุกด้านของชีวิต


IDF15_Bk_keynote_5386

นายไบรอัน เคอร์ซานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของอินเทล กล่าวเปิดงาน อินเทล ดีเวลอปเปอร์ ฟอรัม (IDF) ประจำปี 2558 พร้อมเผยโฉมผลิตภัณฑ์ เครื่องมือ และซอฟต์แวร์ใหม่ที่จะเข้ามารองรับประสบการณ์การใช้งานคอมพิวเตอร์ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากยิ่งขึ้น ทั้งยังเน้นย้ำถึงแนวโน้มในวงการไอทีที่จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์

ในโอกาสนี้ นายเคอร์ซานิชได้เน้นย้ำถึงรูปแบบการใช้งานคอมพิวเตอร์ที่เป็นส่วนตัวมากยิ่งขึ้น จนทำให้เทคโนโลยีเข้าไปมีบทบาทในแทบทุกด้านของชีวิต “ทุกวันนี้ เรามีคอมพิวเตอร์อยู่บนโต๊ะทำงาน ในกระเป๋า บนเสื้อผ้า ในบ้านและยังพกพาติดตัวอีกด้วย คอมพิวเตอร์เหล่านี้ นอกจากจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น เชื่อมต่อกับเครือข่ายได้กว้างขวางขึ้นแล้ว ยังรับรู้ และตอบสนองต่อผู้ใช้ได้มากขึ้น จนกลายเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของผู้ใช้งานไปแล้ว”

ในฐานะผู้นำของอุตสาหกรรมไอที อินเทลจึงมีบทบาทสำคัญในการร่วมผลักดันการพัฒนาของอุตสาหกรรมที่เปิดโอกาสสู่การประมวลผลแบบใหม่ๆ โดยนายเคอร์ซานิชได้เปิดเผยถึงผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยี และเครื่องมือใหม่ๆ มากมายจากอินเทลที่จะช่วยให้นักพัฒนาได้สร้างสรรค์ประสบการณ์ที่แปลกใหม่และหลากหลายให้กับผู้ใช้

นายเคอร์ซานิชได้เผยถึงความคืบหน้าในการพัฒนาให้เทคโนโลยีกล้อง เรียลเซนส์TM ที่สามารถแยกแยะความลึกตื้นของวัตถุในภาพได้นั้น สามารถนำไปติดตั้งในดีไวซ์ใหม่ๆ และประยุกต์ใช้งานได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ขณะที่ในด้านเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) บริษัทก็ได้ประกาศผนึกกำลังกับคู่ค้ารายใหม่รวมทั้งยังเปิดตัวซอฟต์แวร์และชุดเครื่องมือเพื่อสนับสนุนให้การพัฒนาโซลูชั่น IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วและคล่องตัวยิ่งขึ้น นอกจากนี้ นายเคอร์ซานิชยังกล่าวถึงความเคลื่อนไหวล่าสุดในการพัฒนาโมดูล อินเทล® คูรี™ พร้อมด้วยการเปิดตัว “America’s Greatest Makers” รายการเรียลลิตี้สำหรับยอดนักประดิษฐ์จากฝีมือการสร้างสรรค์ของมาร์ค เบอร์เน็ตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ ยูไนเต็ด อาร์ทิสท์ มีเดีย กรุ๊ป* ซึ่งจะออกอากาศทางช่องโทรทัศน์ในเครือเทอร์เนอร์ บรอดคาสติ้ง* เร็วๆ นี้

งานอินเทล ดีเวลอปเปอร์ ฟอรัม (IDF) จัดขึ้นทุกปีเพื่อเป็นเวทีให้อินเทลได้แสดงวิสัยทัศน์ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคตให้นักพัฒนาและคู่ค้าในอุตสาหกรรมได้รับทราบ เพื่อทำความเข้าใจ และนำไปประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ระบบ สื่อบันเทิง และอุปกรณ์ที่จะสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้ โดยในปีนี้ มีไฮไลท์ที่สำคัญดังนี้

Fingers_Curie_Blue

  • เทคโนโลยี อินเทล เรียลเซนส์ จะพร้อมใช้บนแพลตฟอร์มต่างๆ อย่างกว้างขวางมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักพัฒนานำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ใหม่ๆ โดยนอกจากระบบปฏิบัติการวินโดวส์* และแอนดรอยด์* แล้ว เรียลเซนส์ยังสามารถทำงานได้กับแมค โอเอส เอ็กซ์* อาร์โอเอส*  ลินุกซ์*  สแครทช์*  ยูนิตี้*  เอ็กซ์สปลิท*  โอบีเอส*  สตรักเจอร์ เอสดีเค*  โอเอสวีอาร์*  อันเรียล เอนจิน 4*  และกูเกิล โปรเจกต์ แทงโก* นอกจากนี้ เรเซอร์*  เอ็กซ์สปลิท* แซฟวีโอ๊ค* และทีมนักพัฒนาอีกจำนวนหนึ่งยังได้เผยโฉมแพลตฟอร์ม อุปกรณ์ และโซลูชั่นใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีนี้อีกด้วย
  • อินเทลและกูเกิลประกาศความร่วมมือเพื่อยกระดับนวัตกรรมกล้องสามมิติสำหรับอุปกรณ์พกพาด้วยการผนึกเอาโปรเจกต์ แทงโก ของกูเกิล และอินเทล เรียลเซนส์ ไว้ในชุดอุปกรณ์เพื่อการพัฒนาซอฟต์แวร์บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยเทคโนโลยีทั้งสองจะเปิดโอกาสให้นักพัฒนาได้สร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่มากมาย ทั้งการนำทางและสำรวจพื้นที่ภายในอาคารแบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (virtual reality) ระบบสแกนวัตถุแบบสามมิติ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยชุดอุปกรณ์ดังกล่าวจะแจกจ่ายให้กับทีมนักพัฒนาแอนดรอยด์จำนวนหนึ่งภายในช่วงสิ้นปีนี้
  • อินเทลจับมือกับยูไนเต็ด อาร์ทิสท์ มีเดีย กรุ๊ป ซึ่งนำโดยนายมาร์ค เบอร์เน็ตต์ และเทอร์เนอร์ บรอดคาสติ้ง เพื่อผลิตรายการเรียลลิตี้ “America’s Greatest Makers” ซึ่งจะเริ่มออกอากาศในช่วงครึ่งแรกของปี 2559 นี้ โดยมีการเผยโฉมนักประดิษฐ์ที่จะเข้าร่วมชิงรางวัลมูลค่ากว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐด้วยการสร้างสรรค์อุปกรณ์เพื่อการสวมใส่และดีไวซ์อัจฉริยะต่างๆ จากโมดูล อินเทล คูรี
  • อินเทลเปิดตัวเทคโนโลยี อินเทล® ออพเทนTM ซึ่งพัฒนาขึ้นจากหน่วยความจำถาวรแบบ 3D XPointTM และทำงานประสานกับอุปกรณ์ควบคุมหน่วยความจำ ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ล่าสุดจากอินเทล เพื่อมอบประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดเก็บและอ่านข้อมูล เทคโนโลยี อินเทล ออพเทน จะเปิดตัวออกสู่ตลาดในปี 2559 ในรูปของไดรฟ์ SSD รุ่นใหม่ที่โดดเด่นทั้งในด้านความทนทานและสมรรถนะการใช้งาน นอกจากนี้ หน่วยความจำ 3D XPoint ยังจะเป็นหัวใจหลักของผลิตภัณฑ์หน่วยความจำแบบ DIMM รุ่นใหม่ที่ออกแบบขึ้นเพื่อใช้งานในแพลตฟอร์มศูนย์ข้อมูลแห่งอนาคตของอินเทล
  • ฟอสซิล กรุ๊ป* ร่วมจัดแสดงผลิตภัณฑ์เพื่อการสวมใส่ที่พัฒนาขึ้นภายใต้ความร่วมมือกับอินเทลจำนวนสามรุ่น หลังจากที่ได้ประกาศถึงความร่วมมือดังกล่าวไปในเดือนกันยายน ปี 2557 โดยไลน์ผลิตภัณฑ์ที่นำมาจัดแสดงนั้นครอบคลุมถึงสมาร์ทวอทช์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รุ่นใหม่ด้วย ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์ทั้งสามรุ่นจะออกวางจำหน่ายภายในช่วงไตรมาสที่สี่ของปีนี้
  • อินเทลเผยแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ใหม่ที่พัฒนาขึ้นสำหรับโมดูล อินเทล คูรี โดยเฉพาะ โดยแพลตฟอร์มดังกล่าวมีชุดเครื่องมือเพื่อการพัฒนาฮาร์ดแวร์ เฟิร์มแวร์ ซอฟต์แวร์ และแอพพลิเคชันอย่างครบถ้วน เพื่อให้นำไปประยุกต์ใช้ได้ในรูปแบบใหม่ๆ นอกจากนี้ ชุดซอฟต์แวร์ อินเทล ไอคิว ยังจะสนับสนุนการทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มนี้ในอนาคตอีกด้วย
  • เทคโนโลยี Enhanced Privacy Identification (EPID) ของอินเทลจะถูกนำไปติดตั้งในอุปกรณ์เซนเซอร์และไมโครคอนโทรลเลอร์สำหรับโซลูชั่น IoT ที่พัฒนาโดยแอทเมล* และไมโครชิพ* เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยในการใช้งานระบบ IoT

ซีอีโอคนใหม่และประธานอินเทล ร่วมกันประกาศแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อนาคต


Image

อินเทล ดิเวลล็อปเปอร์ ฟอรั่ม, ซานฟรานซิสโก, 11 กันยายน 2556 — ไบรอัน เคอซานิทช์ ซีอีโอคนใหม่ของอินเทล เปิดเผยในพิธีเปิดงาน อินเทล ดิเวลล็อปเปอร์ ฟอรั่ม หรือ ไอดีเอฟ (Intel Developer Forum – IDF)      โดยกล่าวว่า ทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของอินเทล นับตั้งแต่ระบบดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงอุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก เช่น แท็บเล็ต โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ อื่นๆ ที่สามารถพกติดตัวได้ กำลังทำให้ตลาด ในกลุ่มอุปกรณ์ประมวลผล ก้าวเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงอันน่าตื่นเต้น จนอาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมไอทีเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ ไบรอัน ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของอินเทลและกลยุทธ์ในการรับมือกับสินค้าในตลาดแต่ละกลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  เช่น ความก้าวหน้าของอินเทลในการทำตลาดอุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก โดยเตรียมนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดในปีหน้าและปีต่อๆ ไป ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ที่กินไฟต่ำกว่าเดิมด้วย

ไบรอัน กล่าวถึงแผนที่จะก้าวเข้าสู่ทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเปิดเผยว่า “ปัจจุบัน นวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าเมื่อก่อนมาก ซึ่งทำให้อินเทลได้เปรียบ เพราะเราเป็นผู้นำ     ด้านเทคโนโลยีการผลิตและมีระบบสถาปัตยกรรมที่เอื้อต่อการพัฒนาอุปกรณ์แบบประหยัดพลังงาน โดยอินเทล  วางเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับอุปกรณ์ประมวลผล”

สำหรับงานไอดีเอฟในปีนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่ ไบรอัน เคอซานิทช์ ซีอีโอคนใหม่ของอินเทล และ เรเน่ เจมส์ ประธานบริษัท ขึ้นกล่าวบนเวที หลังจากที่ผู้บริหารระดับสูงทั้งสองท่านเข้ารับตำแหน่งใหม่ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

เรเน่ กล่าวถึงก้าวต่อไปของบริษัทฯ โดยมีวิสัยทัศน์ในการวางแผนให้ในศตวรรษหน้าอุปกรณ์ต่างๆ อุปกรณ์ประมวลผลรุ่นใหม่ๆ ทุกชิ้นสามารถประมวลผลได้ ซึ่งหมายถึงโซลูชั่นระบบประมวลผลแบบฝังตัวจะต้อง   มีขนาดเล็กลง ทำงานได้เร็วขึ้นและหลากหลายยิ่งกว่าเดิม และสามารถผลิตได้ในปริมาณที่มากขึ้น

“เทคโนโลยีบนพื้นฐานของเซมิคอนดักเตอร์ จะยังคงมีบทบาทในการทำให้เราค้นพบปัญหาต่างๆ และโอกาสอันน่าตื่นเต้นที่กระจายตัวอยู่ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก จะสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตของเรา บริหารเมืองของเราให้น่าอยู่ และทำให้สุขภาพของเราดีขึ้น  นอกจากนี้ อินเทลยังมีบทบาทอย่างมากในทุกๆ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีตลอดเวลาที่ผ่านมา และยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมต่อไปในอนาคต” เรเน่ กล่าว

ความก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดของอุปกรณ์พกพาขนาดเล็ก

ไบรอัน กล่าวว่า อินเทลเตรียมเปิดตัว “เบย์เทรล” (Bay Trail) ในสัปดาห์นี้  โดย เบย์เทรล เป็นระบบประมวลผลที่ฝังอยู่บนชิพ หรือ เอสโอซี (system-on-a-chip – SoC) ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีขนาด 22 นาโนเมตร รุ่นแรกของอินเทลเพื่อใช้ในอุปกรณ์มือถือ  ทั้งนี้ “เบย์เทรล” พัฒนาจากสถาปัตยกรรมระดับไมโครรุ่นใหม่ คือซิลเวอร์มอนท์” (Silvermont) ที่มีสมรรถนะสูงแต่กินไฟต่ำ สามารถรองรับอุปกรณ์รูปแบบใหม่ๆ ที่ใช้ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์* และ วินโดวส์*  โดยเฉพาะกับอุปกรณ์อย่างแท็บเล็ตและทูอินวัน

Imageนอกจากนี้ ไบรอันยังกล่าวด้วยว่า การขยายตลาดผลิตภัณฑ์พกพาขนาดเล็กอย่างสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และแท็บเล็ตแบบทูอินวัน ซึ่งมีความสามารถเทียบเท่าพีซีเมื่อใช้งานคู่กับคีย์บอร์ด รวมถึงอุปกรณ์พกพาใหม่ๆ ที่มีสีสันและแปลกใหม่กว่าเดิม ทำให้ตลาดในกลุ่มอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วน่าสนใจกว่าที่เคยเป็นมา

“เรายังไปไม่ถึงทางตันของสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต คลื่นลูกใหม่ของอุปกรณ์พกพากำลังก่อตัวอยู่           ส่วนอุปกรณ์ที่สามารถพกติดตัวได้ซึ่งมาพร้อมกับระบบเซ็นเซอร์คุณภาพสูง รวมถึงหุ่นยนต์ ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”

และเพื่อแสดงให้เห็นว่าอินเทลมีแผนที่จะใช้ความเป็นผู้นำในด้านการผลิตและสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์ เพื่อก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของระบบการประมวลผลที่ประหยัดพลังงานได้อย่างไรนั้น  ไบรอัน ได้เปิดตัวระบบประมวลผลในตระกูล “อินเทล คว๊าค” (Intel Quark) ซึ่งกินไฟต่ำ และจะมีส่วนสำคัญในการทำให้อินเทลก้าวเข้าสู่กลุ่มธุรกิจที่กำลังเติบโต ตั้งแต่กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับระบบอินเทอร์เน็ตในระดับอุตสาหกรรมไปจนถึงอุปกรณ์ที่ใช้สวมใส่และประมวลผลได้  โดยระบบนี้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับอุปกรณ์ที่เน้นในเรื่องของการกินไฟต่ำกว่าเดิมและมีขนาดเล็กเหมาะแก่การพกพา มากกว่าที่จะเน้นในด้านการมีสมรรถนะที่สูงขึ้น

อินเทลจะส่งบอร์ดต้นแบบของเครื่องรุ่นตัวอย่างที่ใช้ผลิตภัณฑ์รุ่นแรกของตระกูลนี้ในราวไตรมาสสี่ของปีนี้ เพื่อให้บริษัทพันธมิตรนำไปปรับใช้ในการออกแบบให้ตรงกับความต้องการตลาด โดยในระยะแรกจะเน้น

ตลาดในกลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มพลังงานและการขนส่ง

เมื่อยุคใหม่ของระบบประมวลผลเติบโตขึ้นและมีลักษณะที่เฉพาะตัวมากขึ้น นวัตกรรมของอุปกรณ์ที่สามารถสวมใส่ติดตัวได้จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไบรอัน ได้ยกตัวอย่างของอุปกรณ์สำหรับสวมข้อมือ ซึ่งเป็นดีไซน์ต้นแบบและเป็นนวัตกรรมที่กำลังได้รับการพัฒนา โดยกล่าวว่าอินเทลและพันธมิตรกำลังสร้างโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากตลาดในกลุ่มนี้

ในด้านเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สารความเร็วสูง 4G นั้น ไบรอันกล่าวว่า นวัตกรรม LTE ใหม่ของอินเทลเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเชื่อมต่อเครือข่าย 4G ที่เป็นมัลติโหมด มัลติแบนด์ และจะทำให้ อินเทลก้าวข้ามอุปสรรคเพื่อทำให้ธุรกิจในตลาดสมาร์ทโฟนเติบโตขึ้น ปัจจุบัน อินเทลได้จัดส่งชิพโมเด็มแบบมัลติโหมด ซึ่งมีชื่อว่า อินเทล® เอ็กซ์เอ็มเอ็ม™ 7160 (Intel® XMM™ 7160) เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโซลูชั่นแบบมัลติโหมด    มัลติแบนด์ สำหรับการทำโรมมิ่งทั่วโลกโดยใช้เทคโนโลยี LTE ชนิดกินไฟต่ำที่สุดและมีขนาดเล็กที่สุดในโลก

ไบรอัน ยังได้กล่าวถึงตัวอย่างของการก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วของอินเทล ภายใต้การบริหารงานของทีมผู้บริหารชุดใหม่ โดยกล่าวว่า ในขณะนี้ ผลิตภัณฑ์ LTE เจนเนอเรชั่นใหม่ของอินเทล หรือโมเด็ม อินเทล    เอ็กซ์เอ็มเอ็ม 7260 ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา โดยคาดว่าจะสามารถจัดส่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวซึ่งมีคุณสมบัติขั้นสูงเพื่อใช้ในการรับส่งข้อมูลแบบ LTE เช่น carrier aggregation ได้ในปี 2557 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับการเปิดใช้เครือข่าย 4G โดยไบรอันได้สาธิตคุณสมบัติของ carrier aggregation จากโมเด็ม อินเทล เอ็กซ์เอ็มเอ็ม 7260 บนเวทีด้วย โดยสามารถเพิ่มความเร็วในการทำงานได้มากถึงสองเท่าตัว

นอกจากนี้ ไบรอันยังได้สาธิตการใช้งานของสมาร์ทโฟนที่รองรับได้ทั้งโซลูชั่น อินเทล เอ็กซ์เอ็มเอ็ม 7160 LTE และ อินเทล® อะตอม™ เอสโอซี เจนเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งมีชื่อรหัสว่า “เมอร์ริฟิลด์” (Merrifield) เพื่อใช้กับ    แท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนในปี 2557  โดย “เมอร์ริฟิลด์” พัฒนามาจากสถาปัตยกรรมระดับไมโคร “ซิลเวอร์มอนท์” (Silvermont) ซึ่งมีสมรรถนะที่สูงขึ้น ประหยัดพลังงาน และมีอายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนานกว่ารุ่นที่เป็นเจนเนอเรชั่นปัจจุบัน

ความเป็นผู้นำด้านการผลิตของอินเทล

ไบรอัน ได้กล่าวถึงความก้าวหน้าและการพัฒนานวัตกรรมอย่างรวดเร็วสำหรับพีซีในอนาคต โดยได้สาธิตระบบประมวลผลขนาด 14 นาโนเมตร จากเครื่องที่ใช้ “บรอดเวลล์” (Broadwell) ซึ่งจะเริ่มดำเนินการผลิตภายในสิ้นปีนี้ และจะเป็นผลิตภัณฑ์นำร่องที่ใช้กระบวนการผลิตขนาด 14 นาโนเมตร สำหรับผลิตภัณฑ์รุ่นแรกที่ใช้ “บรอดเวลล์” จะมีสมรรถนะที่สูงขึ้น อายุแบตเตอรี่ที่ยาวนานขึ้น และกินไฟต่ำลง ซึ่งเหมาะกับอุปกรณ์ทูอินวันและอุปกรณ์ที่ไม่ต้องใช้พัดลมระบายความร้อน อัลตร้าบุ๊ก และพีซีดีไซน์ต่างๆ

เพื่อตอกย้ำว่า อินเทลพร้อมที่จะนำประสบการณ์การเป็นผู้นำในฐานะผู้ผลิตและออกแบบสถาปัตยกรรม  มาใช้กับโปรเซสเซอร์ในตระกูล อินเทล อะตอม ไบรอันยืนยันว่า อินเทลตั้งใจที่จะนำ อินเทล อะตอม โปรเซสเซอร์ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้สถาปัตยกรรมระดับไมโคร “แอร์มอนท์” (Airmont) เจนเนอเรชั่นใหม่ ออกสู่ตลาด โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 14 นาโนเมตรในราวต้นปีหน้า ตามช่วงจังหวะเวลาของสินค้าแต่ละกลุ่มในตลาด

ในฐานะที่เป็นบริษัทเพียงรายเดียวที่นำเสนอทรานซิสเตอร์ ไตร-เกท สามมิติ (3-D Tri-gate transistors) และเป็นผู้ผลิตระบบประมวลผลรายเดียวที่มีผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีในระดับ 22 นาโนเมตร ทำให้อินเทลนำหน้าบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ไปไกลถึง 3 ปี และเมื่อถึงวันที่บริษัทสามารถเริ่มกระบวนการผลิตในระดับ 14 นาโนเมตร ซึ่งเป็นยุคที่สองของเทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ ไตร-เกต สามมิติ จะยิ่งทำให้อินเทล    ทิ้งห่างคู่แข่งออกไปอีก ทรานซิสเตอร์ ไตร-เกต สามมิติ จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น ประหยัดพลังงานมากขึ้น ซึ่งตรงกับความต้องการของอุปกรณ์ประมวลผล ในปัจจุบัน ตั้งแต่อุปกรณ์พกพาขนาดเล็กไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์

การออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์

ธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ของอินเทลที่สร้างรายได้กว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีนั้น ได้สร้างโซลูชั่นใหม่ให้กับธุรกิจต่างๆ เพื่อทำให้ก้าวทันกับความต้องการของระบบคลาวด์ และการจัดการกับข้อมูลมหาศาลที่ถูกสร้างขึ้นโดยอุปกรณ์พกพาจากผู้ใช้ทั่วโลก เป้าหมายของอินเทลคือการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ให้กับดาต้า เซ็นเตอร์ เพื่อเป็นฐานรากของการใช้ซอฟต์แวร์เพื่อจัดการกับระบบดาต้าเซ็นเตอร์และบริการระบบคลาวด์ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่เซิร์ฟเวอร์ ระบบเครือข่าย การจัดเก็บข้อมูล และการรักษาความปลอดภัย

อินเทลจะทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในตระกูล อินเทล® ซีออน™ โปรเซสเซอร์ รุ่นใหม่สำหรับ              ดาต้าเซ็นเตอร์ในวันนี้ด้วยเช่นกัน โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อินเทลได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีในกลุ่ม    ดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงผลิตภัณฑ์ในตระกูล อินเทล อะตอม ซี2000 แบบ 64 บิต เจนเนอเรชั่นที่สองในดีไซน์แบบเอสโอซี ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้กับไมโครเซิร์ฟเวอร์ และแพลตฟอร์ม cold storage ซึ่งมีชื่อรหัส“อาโวตัน” (Avoton) รวมถึงแพลตฟอร์มเครือข่ายในระดับเริ่มต้น ซึ่งมีชื่อรหัสว่า “เรนเจลี” (Rangeley)

การประมวลผลเพื่อช่วยแก้ปัญหาให้กับโลกของเรา

เรเน่ ได้เน้นว่า สมาร์ทซิตี้และบริการทางการแพทย์ที่ปรับให้เหมาะกับผู้รับบริการได้นั้น ถือเป็นตัวอย่างสำคัญที่จะนำเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามาประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตได้

เรเน่ ยังกล่าวถึงการคาดการณ์ที่ว่า ภายในปี 2593 ประชากรโลกกว่าร้อยละ 70 จะอาศัยอยู่ในมหานครขนาดใหญ่ การพัฒนาเทคโนโลยีระบบประมวลผลจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรับส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี อินเทลได้ร่วมมือกับกรุงดับลินและลอนดอนในการวางระบบเพื่อเปลี่ยนโฉมหน้าการจัดการระบบต่างๆ ของเมือง เพื่อให้ประชากรได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลงกว่าเดิม

เรเน่กล่าวเสริมว่า “การติดตั้งระบบประมวลผลไว้ในอุปกรณ์นับล้านๆ ชิ้น เป็นแค่เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เรากำลังทำอยู่นี้มันยากยิ่งกว่า นั่นคือการสร้างระบบโซลูชั่นอันทรงพลังที่สามารถนำข้อมูลไปใช้ให้เป็นประโยชน์ และเป็นคำตอบของคำถามที่ยากและซับซ้อนที่สุด เช่น การรักษาโรคมะเร็ง เป็นต้น สิ่งที่เราเห็นในปัจจุบันนี้เป็นเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของสิ่งที่เทคโนโลยีจากอินเทลสามารถทำได้ เพื่อใช้ในการรักษา ให้ความรู้ และมอบโอกาสให้ทุกชีวิตบนโลกใบนี้อยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน”

เรเน่ กล่าวว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของอินเทล ถือเป็นหนึ่งตัวอย่างที่คอมพิวเตอร์สามารถเปลี่ยนโฉมหน้าวงการสาธารณสุข ซึ่งนับเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดในระบบเศรษฐกิจโลกได้ โดยอินเทลกำลังทำงานร่วมกับสถาบันมะเร็ง Knight Cancer Institute ซึ่งตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยด้านสุขภาพและวิทยาศาสตร์ของโอเรกอน ในโครงการเพื่อค้นหาวิธีที่จะวิเคราะห์รายละเอียดยีนส์ของมนุษย์ เพื่อทำแผนภูมิของดีเอ็นเอในหลากมิติ โดยใช้งบประมาณและเวลาที่น้อยที่สุด

 “นับเป็นครั้งแรกในวงการแพทย์ยุคใหม่ ที่ระบบประมวลผลและเทคโนโลยีก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญ   เท่าเทียมกับชีววิทยา ยิ่งถ้าเราสามารถทำให้ระบบประมวลผลสมรรถนะสูงมีราคาถูกลงได้มากเท่าใด เราก็จะยิ่งช่วยรักษาชีวิตมนุษย์ไว้ได้มากขึ้นเท่านั้น” เรเน่ กล่าวปิดท้าย